วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

คำขวัญประจำจังหวัด

คำขวัญประจำจังหวัดปัตตานี

บูดูสะอาด หาดทรายสวย

รวยน้ำตก นกเขาดี

ลูกหยีอร่อย หอยแครงสด



วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ของฝากจากปัตตานี


ของฝากจากปัตตานี



ลูกหยี
        เนื่องจากอำเภอยะรังเป็นอำเภอเดียวของจังหวัดที่มีต้นหยีมาก และลูกหยีก็เป็นผลไม้ที่มีรสชาดอร่อยจึงนำมา
ปรุงแต่งรสชาติให้น่ารับประทานเพิ่มขึ้น โดยการฉาบน้ำตาล เกลือ พริก ซึ่งเรียกว่าลูกหยีทรงเครื่อง มีรสอร่อยรวม 4 รส คือ เปรี้ยว หวาน เค็ม และเผ็ด นิยมรับประทานเป็นอาหารว่าง มีการจำหน่ายเป็นกิโลกรัม ตามแต่ลูกค้าต้องการทั้งขายส่ง/ขายปลีก และมีทั้งการบรรจุจำหน่ายราคาตามปริมาณ หรือขนาดของถุง (เล็ก-ใหญ่) ปัจจุบันมีการส่งไปจำหน่ายที่ประเทศมาเลเซีย
        นายตนหยก ภูมิสิริรัฐ(แซ่พู่) เป็นชาวจีนโดยกำเนิด เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในอำเภอยะรังก่อนสงครามมหาเอเชียบูรพาเป็นต้นตำรับลูกหยีสำเร็จรูป
จากยะรัง จังหวัดปัตตานี การคิดค้นสูตรในการทำลูกหยีฉาบ ลูกหยีทรงเครื่อง ลูกหยีกวนจนเป็นผลสำเร็จได้รสชาดเป็นที่ติดใจในนาม "ลูกหยีแม่เลื่อน" ซึ่งเป็นชื่อของภรรยา ถือเป็นหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (one Tambon one Product) ของลูกหยีวีระวงศ์ สี่แยกยะรัง ตำบลยะรัง อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี และหมู่ 6 ต.สะดาวา อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี top

                                
        

        ประเภท : อาหาร เดิมทีลูกหยีนั้นจะมีรสเปรี้ยว กลุ่มแม่บ้านนั้นจึงได้มีการนำลูกหยีนั้นมาแปรรูป และทำให้มีรสชาดที่มีความอร่อยเพิ่มมากขึ้น ทำให้รสเปรี้ยวนั้นลดน้อยลง ทางกลุ่มนั้นได้มีการที่พัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ และจนได้ลูกหยีสามรส ที่ประกอบไปด้วย รสเปรี้ยว หวาน และเผ็ดเล็กน้อย นับได้ว่าเป็นรสชาดที่อร่อยเป็นอย่างมากเลยทีเดียว
        จุดเด่นของสินค้า
 เป็นผลิตภัณท์ที่มีวิตามินซีสูง รสชาดอร่อย สะอาดถูกหลักอนามัย






ผ้าบาติก



            ผ้าบาติก (BatiK) ผ้าชนิดนี้จะใช้เทคนิคในการลงเทียน หรือขี้ผึ้งลงบนผืนผ้า แล้วนำไปย้อมสี จากนั้นนำมาต้มเพื่อเอาขี้ผึ้งออก ตำแหน่งที่เคยปิดทับด้วยขี้ผึ้งมาก่อนสีจะไม่ติด เกิดเป็นลวดลายสีขาวขึ้นมาในตำแหน่งนั้น จะเพิ่มสีสันอื่นๆ เข้าไปหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการหรือกรรมวิธีพิเศษของช่างผู้ผลิต เทคนิคการลงขี้ผึ้งนี้ในภาษาอินโดนีเซีย(ชวา) จะเรียกว่า "BATIK" ผ้าที่เกิดลวดลายขึ้นในผืนผ้าด้วยเทคนิคอันนี้จึงเรียกขานกันว่า ผ้าบาติก หรือ ผ้าบาเต๊ะ หรือ ผ้าปาเต๊ะ ซึ่งเป็นชื่อผ้าที่ใช้เทคนิคของการผลิตนำมาตั้งชื่อ และผ้าชนิดนี้เป็นผ้าชนิดเดียวกับที่เรียกกันในสมัยโบราณว่า ผ้ายาวา หรือผ้ายาวอ ซึ่งมี แหล่งผลิตที่สำคัญอยู่ในเกาะชวา
เป็นหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (one Tambon one Product) ของตำบลดาโต๊ะ อำเภอหนองจิก ,ตำบลตะโละดือรามัน
อำเภอกะพ้อ ตำบลปะเสยะวอ อำเภอสายบุรี ,ตำบลปิตูมุดี อำเภอยะรัง ,ตำบลบาราโหม อำเภอเมือง และตำบลลุโบะยิไร
อำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี



        ผ้าบาติกหรือผ้าปาเต๊ะ เป็นวิธีการเรียกผ้าชนิดหนึ่งที่มีวิธีการทำโดยใช้เทียนปิดส่วนที่ไม่ต้องการให้ติดสี และใช้วิธีการแต้ม ระบาย หรือย้อมในส่วนที่ต้องการให้ติดสี ผ้าบาติกบางชิ้นอาจจะผ่านขั้นตอนการปิดเทียน แต้มสี ระบายสีและย้อมสีนับเป็นสิบๆ ครั้ง ส่วนผ้าบาติกอย่างง่ายอาจทำโดยการเขียนเทียนหรือพิมพ์เทียน แล้วจึงนำไปย้อมสีที่ต้องการ
คำว่า บาติก (Batik) หรือปาเต๊ะ เดิมเป็นคำในภาษาชวาใช้เรียกผ้าที่มีลวดลายเป็นจุด คำว่า “ติก” มีความหายว่า เล็กน้อย หรือจุดเล็กๆ มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า ตริติก หรือตาริติก ดังนั้น คำว่า บาติก จึงมีความหมายว่าเป็นผ้าที่มีลวดลายเป็นจุด ๆ ด่างๆ

    แหล่งกำเนิด
        แหล่งกำเนิดของผ้าบาติกมาจากไหนยังไม่เป็นที่ยุติ นักวิชาการชาวยุโรปหลายคนเชื่อว่ามีในอินเดียก่อน แล้วจึงแพร่หลายเข้าไปในอินโดนีเซีย อีกหลายคนว่ามาจากอียิปต์หรือเปอร์เซีย
แม้ว่าจะได้มีการค้นพบผ้าบาติกที่มีอายุเก่าแก่ในประเทศอื่นๆ ทั้งอียิปต์ อินเดีย และญี่ปุ่น แต่บางคนก็ยังเชื่อว่า ผ้าบาติกเป็นของดั้งเดิมของอินโดนีเซีย และยืนยันว่าศัพท์เฉพาะที่เรียกวิธีการและขั้นตอนในการทำผ้าบาติก เป็นศัพท์ภาษาอินโดนีเซีย สีที่ใช้ย้อมกันก็มาจากพืชที่มีในอินโดนีเซียสูงกว่าที่ทำกันในอินโดนีเซีย และจากการศึกษาค้นคว้าของ N.J.Kron นักประวัติศาสตร์ชาวดัตซ์ก็สรุปว่าไว้ว่า การทำโสร่งบาติกหรือโสร่งปาเต๊ะ เป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ก่อนติดต่อกันอินเดีย
จากการศึกษาของบุคคลต่างๆ อาจกล่าวได้ว่า วิธีการทำผ้าบาติกของอินโดนีเซียได้รับการเผยแพร่ไปยังชาติอื่นๆ ส่วนการทำผ้าโสร่งบาติกนั้น คงมีกำเนิดจากอินโดนีเซียค่อนข้างแน่นอน

สถาปัตยกรรม

มัสยิดกรือเซะ






ประวัติความเป็นมา


            มีตำนานเล่าสืบต่อกันต่อ ๆ มาว่า ในยุคที่เมืองปัตตานีมีเจ้าผู้ครองเมืองเป็นนางพญา ชื่อ รายาบีรู (พ.ศ. ๒๑๕๑ - ๒๑๖๗) นั้น ได้มีชาวจีนชื่อ ลิ้มเต้าเคียน มาอยู่เมืองปัตตานี และเข้ารีตรับนับถือศาสนาอิสลาม แล้วไม่ยอมกลับเมืองจีน หลิมกอเหนี่ยวน้องสาวเดินทางมาตามพี่ชายให้กลับเมืองจีนเพื่อดูแลมารดาที่ ชราตามประเพณีของชาวจีน แต่ลิ้มเต้าเคียมไม่ยอมกลับเพราะได้รับมอบหมายจากเจ้าเมืองปัตตานีให้เป็น ผู้ควบคุมก่อสร้างมัสยิดกรือเซะอยู่ และยังสร้างไม่เสร็จจะขออยู่เมืองปัตตานีต่อไปจนกว่าจะสร้างเสร็จ หลิมกอเหนี่ยวมีความน้อยใจจึงทำอัตวินิบาตกรรมประท้วงพี่ชาย แต่ก่อที่นางจะผูกคอตายนางได้อธิษฐานว่าแม้นพี่ชายจะช่างที่เก่งเพียงใดก็ขอ ให้สร้างมัสยิดนี้ไม่สำเร็จ ด้วยแรงแห่งคำสาปแช่งของนาง
ปรากฏว่า ลิ้มเต้าเคียมสร้างไม่สำเร็จ ได้ทำการสร้างหลังคาและโดมถึงสามครั้ง เมื่อสร้างจวนเสร็จก็เกิดอัสนีบาตฟาดโดมและหลังคาพังทลายลงมาทุกครั้ง ทำให้ลิ้มเต้าเคียมเกิดความหวาดกลัว จึงได้ทิ้งงานก่อสร้างให้ค้างอยู่จนบัดนี้

            ลักษณะทั่วไป

        มัสยิดกรือเซะ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนขนาดกว้าง ๑๕.๑๐ เมตร ยาว ๒๙.๖๐ เมตร สูง ๖.๕๐ เมตร เสาทรงกลม เลียนรูปลักษณะแบบเสาโคชิดของยุโรป ช่องประตูหน้าต่าง มีทั้งแบบโค้งแหลมและโค้งมนแบบโคธิด โดมและหลังคายังก่อสร้างไม่เสร็จ อิฐที่ใช้ก่อมีลักษณะเป็นอิฐสมัยอยุธยา ตรงฐานมัสยิดมีอิฐรูปแบบ'คล้ายอิฐสมัยทวารวดีปะปนอยู่บ้าง

            เส้นทางเข้าสู่มัสยิกรือเซะ

        ระยะทางจากตัวเมืองปัตตานีไปยังมัสยิดกรือเซะ บนเส้นทางถนนเพชรเกษม สายปัตตานี - นราธิวาส ประมาณ ๘ กิโลเมตร

            สถานที่ตั้ง ตั้งอยู่ที่บ้านกรือเซะ หมู่ที่ ๒ ตำบลตันหยงลูโละ อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี 

            ตำนานมัสยิดกรือเซ๊ะ ที่ กรือเซะ-บานา เป็นเรื่องราวที่ได้สร้างความอัปยศให้กับสังคมมุสลิมนับตั้งแต่ได้มีประวัติศาสตร์อิสลามเกิดขึ้นมาในปัตตานี เริ่มจากรัชสมัยของพระยาอินทิรา แห่งราชวงศ์ RAJA WANGSA ซึ่งพระองค์เข้ายอมรับในศาสนาอิสลาม และมีพระนามว่า สุลต่าน อิสมาแอล ชาห์ซึ่งตามประวัติศาสตร์แล้ว มัสยิดกรือเซ๊ะ ไม่ได้ถูกสร้างโดยลิ้มโต๊ะเคียม เหมือนกับตำนานของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ที่ได้รับบอกเล่าต่อๆ กันมา หรือตามตำนานที่ได้ถูกบันทึกในวารสาร อสท.ของ ททท.

            และมัสยิดกรือเซ๊ะไม่ได้ถูกฟ้าผ่า เนื่องจากคำสาปแช่งของนางสาวลิ้มกอเหนี่ยวหรือหลิมกอเนี่ยว ที่ผูกคอตายที่ต้นมะม่วงหิมพานต์ริมชายหาดตันหยงลูโล๊ะ ดั่งที่ตำนานได้บอกกล่าวไว้ ที่ว่า“เมื่อนางไม่สามารถชวน ลิ้มโต๊ะเคี่ยมหรือหลิมเต้าเคียน ผู้เป็นพี่ชายกลับเมืองจีนเพื่อไปดูแลแม่ที่ชราได้ นางจึงเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ ได้ตัดสินใจผูกคอตายกับต้นมะม่วงหิมพานต์ (ยาโหง่ย,ยาร่วง,ยาหมู) พร้อมทั้งได้อาฆาตพยาบาทต่อมัสยิดกรือเซะที่เป็นต้นเหตุให้พี่ชายไม่สามารถกลับเมืองจีนพร้อมกับนางได้ นางจึงได้ตั้งจิตอธิฐานว่า ขอให้มัสยิดหลังนี้มีอันเป็นไปในทุกๆครั้งที่มีการก่อสร้างหรือสร้างเสร็จ จากนั้นก็ได้มีฟ้าคะนองพร้อมกับได้มีอสนีบาตฟาดลงบนโดมมัสยิดพังพินาศเสียหาย ชาวมุสลิมต่างเกรงกลัวต่ออิทธิฤทธิ์ของนางลิ้มกอเหนี่ยวไม่กล้าที่จะกลับมาสร้างต่อ และครั้งใดก็ตามที่ชาวมุสลิมคิดที่จะบูรณะมัสยิดหลังนี้ เมื่อทำการบูรณะเสร็จก็จะโดนฟ้าผ่าทุกครั้งไป จนชาวมุสลิมไม่กล้าบูรณะมัสยิดหลังนี้อีกต่อไปและปล่อยให้มัสยิดรกร้างตั้งแต่นั้นมา ด้วยเพราะความเกรงกลัวต่ออำนาจอิทธิฤทธิ์ของนางสาวลิ้มกอเหนี่ยว หรือเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวในปัจจุบัน”
            แต่ในทางประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ไทยบางส่วนและประวัติศาสตร์ของชาวมลายูบันทึกว่าสาเหตุที่มัสยิดกรือเซ๊ะเสียหาย เพราะโดนกองทัพจากกรุงสยามเข้าตีในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เมื่อประมาณ ปีพ.ศ.2328 ครั้งที่กองทัพสยามเข้ามาตีหัวเมืองปักษ์ใต้ ทหารสยามได้ระดมยิงปืนใหญ่จนเมืองและพระราชวังเสียหายตลอดจนมัสยิดเสียหาย และเมื่อทหารสยามรบชนะก็ได้ทำการเผามัสยิดเพื่อลอกเอาเนื้อทองคำบริสุทธิ์ที่ห่อหุ้มบนโดมมัสยิดกรือเซ๊ะอันสวยงามแห่งนี้ และหลังจากกองทัพสยามได้ยกทัพมาปราบหัวเมืองปักษ์ใต้ กล่าวกันว่า ในสมัยที่กองทหารสยามกวาดและริบทรัพย์สินจากเชลยศึกในสงครามปัตตานีในสมัยที่กองทัพถอยทัพกลับนั้นด้วยความที่ทรัพย์สินของปัตตานีมีมาก เรือลำหนึ่งที่บรรทุกปืนใหญ่ศรีนะฆะราจมล้มในอ่าวปัตตานี และทหารสยามต้องเท้ากลับกรุงเทพมหานครฯ เพราะเรือของกองทัพเรือทั้งต้องบรรทุกทรัพย์สินของเชลยศึกที่ยึดได้จากสงครามกลับกรุงเทพฯ


มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี 

            มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี ตั้งอยู่ที่ถนนยะรัง เส้นทางยะรัง-ปัตตานี ในเขตเทศบาลเมืองปัตตานี ซึ่งสร้างในปี พ.ศ. 2497 ใช้เวลาดำเนินการสร้างประมาณ 9 ปี และทำพิธีเปิดโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2506 เพื่อให้เป็นศูนย์กลางในการประกอบ ศาสนกิจของชาวไทยมุสลิมในภาคใต้ เป็นสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกมีรูปทรงคล้ายกับทัชมาฮาลของอินเดีย ตรงกลางอาคารมียอดโดมขนาดใหญ่และมีโดมบริวาร 4 ทิศ มีหอคอยอยู่สองข้าง บริเวณด้านหน้ามัสยิดมีสระน้ำสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ภายในมัสยิดมีลักษณะเป็นห้องโถง มีระเบียงสองข้างภายในห้องโถงด้านในมีบัลลังก์ทรงสูงและแคบ 





        สิ่งที่น่าสนใจ :

    • เป็นสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกมีรูปทรงคล้ายกับทัชมาฮาลของอินเดีย 
    • ตรงกลางอาคารมียอดโดมขนาดใหญ่และมีโดมบริวาร 4 ทิศ มีหอคอยอยู่สองข้าง 
    • บริเวณด้านหน้ามัสยิดมีสระน้ำสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ 
    • ภายในมัสยิดมีลักษณะเป็นห้องโถง มีระเบียงสองข้างภายในห้องโถงด้านในมีบัลลังก์ทรงสูงและแคบ

        รายละเอียด :

        มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี ใช้เวลาดำเนินการสร้างประมาณ 9 ปี และทำพิธีเปิดโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2506 เพื่อให้เป็นศูนย์กลางในการประกอบ ศาสนกิจของชาวไทยมุสลิมในภาคใต้

        มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานีเป็นมัสยิดที่สวยที่สุดของไทย สร้างในปีพ.ศ.2497 และทำพิธีเปิดโดยจอมพล-สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อวันที่ 3 พฤษภา-คม พ.ศ. 2506 เพื่อให้เป็นศูนย์กลางในการประกอบศาสนกิจ ของชาวไทยมุสลิมในภาคใต้ เป็นสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก หลังคาทรงสี่เหลี่ยมชั้นเดียวมีโดมใหญ่ 2 โดม รายรอบด้วยโดมเล็กๆอีกหลายโดม ดูสวยงาม สง่าและสงบ มัสยิดกลางแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ตัวเมืองปัตตานี ริมถนนสายปัตตานี-ยะลา (ทางหลวงหมายเลข 410) หรือจากถนนพิพิธแล้วเลี้ยวขวา ไปตามถนนไปจังหวัดยะลา ระยะทางประมาณ 500 เมตร จะเห็นมัสยิดกลาง ตั้งตระหง่านอยู่ริมถนนอย่างสง่างาม เปิดให้เข้าชมภายในทุกวัน เวลา 09.00 - 15.30 น. แต่ไม่ควรที่จะไป ในวันศุกร์ระหว่างเวลา 12.00 - 14.00 น. ซึ่งเป็นวันละหมาดประจำสัปดาห์


          ศาลเจ้าเล่งจูเกียง หรือ ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเป็นศาลที่ประดิษฐานรูปแกะสลัก ของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว พระหมอ เจ้าแม่ทับทิม ตั้งอยู่ที่ถนนอาเนาะรู อำเภอเมืองปัตตานี ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นที่เคารพสักการะของชาวจีนและชาวไทยโดยทั่วไปมาก ประวัติการสร้างหรือความเป็นมาของศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว มีการเล่าสืบต่อๆ กันมาเป็นตำนานที่เกี่ยวกับประวัติเมืองปัตตานี จากการศึกษาจากการบันทึกในสมัยราชวงศ์เหม็ง (พ.ศ. 2064-2109) เมื่อประมาณกว่า 400 ปี กล่าวว่า ลิ้มกอเหนี่ยวและพี่ชาย ชื่อลิ้มโต๊ะเคี่ยมเป็นชาวเมืองฮุยไล้ แขวงเมืองแต้จิ๋ว เดิมลิ้มโต๊ะเคี่ยมรับราชการอยู่ที่เมืองดังกล่าว ครั้งเมื่อสิ้นบุญบิดาแล้วจึงมารับราชการที่เมืองจั่วจิว ในช่วงที่โจรสลัดญี่ปุ่นกำเริบหนัก ทางเมือหลวงได้แต่งตั้งขุนพล เช็ก กี กวง เป็นแม่ทัพเรือปราบสลัดญี่ปุ่น จึงเป็นโอกาสดีของคู่อริที่จะใส่ความลิ้มโต๊ะเคี่ยม ลิ้มโต๊ะเคี่ยมจึงหนีไปยังเกาะกีลุ่ง (เกาะไต้หวัน) และหนีต่อไปยังเกาะลูวอน (ฟิลิปปินส์) แต่ต้องปะทะกับกองเรือของสเปนที่ยึดครองอยู่ หลังจากนั้นลิ้มโต๊ะเคี่ยมจึงเดินทางมายังปัตตานี ได้ทำงานเป็นนายด่านเก็บภาษี ต่อมาจึงได้สร้างท่าเรือพาณิชย์แห่งหนึ่งชื่อ “โต๊ะเคี่ยม” ภายหลังลิ้มโต๊ะเคี่ยมได้เข้ารับนับถือศาสนาอิสลามมีภรรยาเป็นเชื้อพระวงศ์ของเจ้าเมืองปัตตานีเป็นที่โปรดปรานของเจ้าเมืองปัตตานีจนได้รับบรรดาศักดิ์เป็นหัวหน้าด่านเก็บส่วยสาอากรต่างๆ
ทางเมืองจีนมารดาและน้องสาว สืบเสาะข่าวก็ไม่ทราบ ลิ้มกอเหนี่ยวน้องสาวจึงขออนุญาตมารดาออกติดตามพี่ชายและนำกองเรือมาถึงเมืองปัตตานี ได้พบพี่ชายและขอร้องให้พี่ชายเดินทางกลับเมืองจีน พี่ชายได้รับปากกับเจ้าเมืองปัตตานีไว้ว่าจะสร้างมัสยิดประจำเมืองให้แล้วเสร็จ ลิ้มกอเหนี่ยวไม่ละความพยายามจึงขอพักอยู่ที่เมืองปัตตานีต่อไป เพื่อหาโอกาสอันควรชักชวนให้พี่ชายกลับ ต่อมาเมืองปัตตานีเกิดการกบฎแย่งชิงกันเป็นใหญ่ ภายหลังเจ้าเมืองถึงแก่อนิจกรรม ลิ้มโต๊ะเคี่ยมจึงเข้าร่วมต่อสู้กับกบฏ ลิ้มกอเหนี่ยวเข้าช่วยพี่ชายแต่พิจารณาเห็นว่าสู้ข้าศึกไม่ได้ จึงฆ่าตัวตายไม่ยอมตายด้วยอาวุธของศัตรู จากการกระทำอย่างอาจหาญและเด็ดเดี่ยวเยี่ยงชายชาตรีของลิ้มกอเหนี่ยว ได้ก่อให้ชาวจีนในปัตตานีมีความศรัทธาในตัวนางจึงแกะสลักรูปลิ้มกอเหนี่ยวประดิษฐานไว้ที่ศาลเจ้าใกล้มัสยิดกรือเซะที่ลิ้มโต๊ะเคี่ยมสร้างไว้ไม่สำเร็จ
ต่อมาภายหลังปรากฏว่ามีความศักดิ์สิทธิ์จนเป็นที่เลื่องลือทั่วไป อีกตำนานหนึ่งกล่าวว่า เมื่อลิ้มกอเหนี่ยวได้ฟังคำปฏิเสธของพี่ชายที่ไม่ยอมเดินทางกลับเมืองจีน จึงอธิษฐานขอให้การก่อสร้างมัสยิดกรือเซะไม่สำเร็จและผูกคอตายที่ต้นมะม่วงหิมพานต์ใกล้มัสยิดกรือเซะ ตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับมารดาก่อนจะออกเดินทางมาตามหาพี่ชาย เมื่อย้ายเมืองปัตตานีไปที่วังจะบังติกอ ชาวจีนในเมืองปัตตานีก็ย้ายชุมชนจากกรือเซะไปสร้างชุมชนชาวจีน ที่ตำบลอาเนาะรู และสร้างศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวนำรูปแกะสลักเจ้าแม่มาประทับ ณ ศาลเจ้าแม่แห่งนี้เพื่อสักการะจนถึงปัจจุบันนี้ ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปี จะมีงานประเพณีแห่เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวไปตามถนนสายต่างๆ ภายในตัวเมืองฯ ทำพิธีลุยไฟบริเวณหน้าศาลเจ้าเล่งจูเกียง ว่ายน้ำข้ามแม่น้ำตานีบริเวณสะพานเดชานุชิต ในงานนี้มีผู้ที่เคารพศรัทธาเป็นมาร่วมงานเป็นจำนวนมากทุกปี

สถานที่ท่องเที่ยว

น้ำตกทรายขาว

ที่ตั้งและแผนที่

สถานที่ติดต่อ : ต.ทรายขาว อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี 94120

โทรศัพท์ : 0 7346 7485 073-339138
โทรสาร : 0 7346 7485

หัวหน้าอุทยานแห่งชาติ : นายมะแอ เจะโด

อุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว ตั้งอยู่ หมู่ที่ 5 ตำบลทรายขาว อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี ค่าพิกัด 47N UTM E731735 N736303 มีอาณาเขตอยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ตอนล่าง คือปัตตานี ยะลา และสงขลา มีเนื้อที่รวม 43,482 ไร่ หรือประมาณ 69.5712 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาใหญ่ และป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเทือกเขาสันกาลาคีรี สภาพพื้นที่เป็นป่าดิบชื้นที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพรรณไม้และสัตว์ป่านานาชนิด โดยมีอาณาเขตติดต่อกับพื้นที่ ดังนี้
ทิศเหนือ - จดตำบลช้างให้ตก ตำบลทรายขาว และตำบลนาประดู่
อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี
ทิศใต้ - จดตำบลตาชี อำเภอยะหา จังหวัดยะลา
ทิศตะวันออก- จดตำบลทุ่งพลา ตำบลปากล่อ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี และ ตำบลลำพะยา อำเภอเมือง จังหวัดยะลา
ทิศตะวันตก - จดตำบลช้างให้ตก อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี และตำบลบ้านโหนด ตำบลเปียน ตำบลธารคีรี อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา
 


ความเป็นมาของการจัดตั้งอุทยานแห่งชาติ
อุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว เดิมชาวบ้านเรียกว่า “น้ำตกกระโถน” ถูกค้นพบ โดยพระครูศรีรัตนากร (ท่านศรีแก้ว) อดีตเจ้าอาวาสวัดทรายขาว เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2475 และท่านได้ชักชวนราษฎรทำการปรับปรุงบริเวณน้ำตกทรายขาว ต่อมาน้ำตกแห่งนี้ ได้พัฒนามาเป็นลำดับโดยอยู่ภายใต้การดูแลของสำนักงานป่าไม้เขตปัตตานี (กรมป่าไม้) จนถึงปี พ.ศ. 2530 กรมป่าไม้ให้เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการสำรวจพื้นที่ และจัดตั้งป่าเขาใหญ่ และป่าเทือกเขาสันกาลาคีรี เพื่อเตรียมประกาศจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 เพื่อคุ้มครองทรัพยากรแห่งชาติ และวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม เพื่อการศึกษาวิจัยและเพื่อการท่องเที่ยว พักผ่อนหย่อนใจแก่ประชาชนโดยทั่วไป ซึ่งมีการนำเสนอผ่านมติเห็นชอบจากคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติให้จัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติฯ เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2533 ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2536 อนุมัติในหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดพื้นที่ดังกล่าวเป็นอุทยานแห่งชาติ การดำเนินการสำรวจจัดตั้งได้ผ่านขั้นตอนเตรียมการมาเป็นลำดับจนคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ การจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติฯ โดยเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งให้จัดพิมพ์แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกา เพื่อจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย แต่ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2541 ได้มีราษฎรในท้องที่ตำบลลำพะยา อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ชุมนุม คัดค้านการประกาศจัดตั้งอุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว จากลำดับเหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้น ทำให้อุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว ต้องปรับปรุงการบริหารจัดการโดยศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง อาทิ สถานภาพ และ ศักยภาพของพื้นที่ วิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของราษฎรในท้องถิ่น ฯลฯ เพื่อนำมาประกอบในการพิจารณา จัดทำแนวเขตอุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว ใหม่ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อราษฎร และสิ่งที่สำคัญ คือ การประกาศเขตอุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว จะต้องสามารถรักษาความสมบูรณ์ ของทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งเป็นที่ยอมรับและเกิดความร่วมมือ จากประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณโดยรอบอุทยานแห่งชาติ
ในปี พ.ศ. 2552 พื้นที่ป่าได้ทำการสำรวจขึ้นใหม่ ไม่มีปัญหากับราษฎร เนื่องจากได้กันพื้นที่ทำกินของราษฎรออกจากพื้นที่อุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว ที่ทำการสำรวจจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติฯ และราษฎรที่อาศัยอยู่รอบบริเวณที่ได้ตรวจสอบกำหนดเขตด้วยโดยได้ผ่านการเห็นชอบจากองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ที่เกี่ยวข้องรวม 10 องค์การ และผ่านความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการป้องกันและปราบปรามการลักลอบทำลายทรัพยากรป่าไม้ประจำจังหวัดที่เกี่ยวข้องรวม 3 จังหวัด คือ ปัตตานี ยะลา และสงขลา โดยผ่านการพิจารณาของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เพื่อประกาศจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติ โดยได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าเขาใหญ่ ในท้องที่ตำบลช้างให้ตก ตำบลทรายขาว ตำบลนาประดู่ ตำบลทุ่งพลา ตำบลปากล่อ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี ตำบลลำพะยา อำเภอเมืองยะลา ตำบลตาชี อำเภอยะหา จังหวัดยะลา และป่าเทือกเขาสันกาลาคีรี ให้ท้องที่ตำบลบ้านโหนด ตำบลเปียน ตำบลธารคีรี อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา ให้เป็นอุทยานแห่งชาติในปี พ.ศ. 2551 ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 125 ตอนที่ 71 ก ลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2551 เป็น อุทยานแห่งชาติแห่งที่ 110 ของประเทศไทย

ขนาดพื้นที่
43482.00 ไร่

หน่วยงานในพื้นที่
หน่วยพิทักษ์ฯที่ ทข.2(น้ำตกพระไม้ไผ่)
หน่วยพิทักษ์ฯที่ ทข.1(น้ำตกโผงโผง)
หน่วยพิทักษ์ฯที่ ทข.3 (น้ำตกแกแดะ)

ภาพแผนที่

ลักษณะภูมิประเทศ
อุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว ตั้งอยู่ในพื้นที่เทือกเขาสำคัญ คือเทือกเขาสันกาลาคีรี ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาสลับซับซ้อนติดต่อกัน ทอดตัวเป็นแนวยาวแผ่ขยายออกไปทางทิศใต้ ทิศตะวันตก และทิศตะวันออก มียอดเขาสูงสุด คือ ยอดเขาสันกาลาคีรี (ยอดเขานางจันทร์) มีความสูงประมาณ 1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง มีพื้นที่บ้างส่วนป็นที่ลาดเชิงเขาและที่ราบเนินเขา มีสันเขาเป็นแนวยาวเป็นเส้นแบ่งเขตจังหวัดปัตตานี ยะลา และสงขลา

ลักษณะภูมิอากาศ
ลักษณะภูมิอากาศร้อน ได้รับอิทธิพลของลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับพื้นที่ที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาวมีความชื้นมาก จึงมีฝนตกชุกและอากาศเย็นสบายตลอดปี อุณหภูมิในระดับ 25.5 ถึง 28 ปริมาณฝนตกมากที่สุด คือ เดือนพฤศจิกายน และธันวาคมของทุกปี

พืชพรรณและสัตว์ป่า
ชนิดของป่า และพันธุ์ไม้ต่างๆที่สำคัญที่ขึ้นอยู่กับ สภาพลักษณะภูมิประเทศ ได้แก่
- ป่าดิบชื้น ขึ้นอยู่ในสภาพพื้นที่ที่ดินอุดมสมบูรณ์ทั่วไป ทั้งที่ในที่ราบเชิงเขาและภูเขา ชนิดไม้ที่สำคัญ ได้แก่ ไม้ยาง สยา กะบาก หลุมพอ ไข่เขียว สะตอเหรียง หยี ตะเคียนทอง ตะเคียนชันตาแมว มังคะ หลันตัน ส่วนไม้พื้นล่างได้แก่ ระกำ หวาย เฟิร์น เถาวัลย์ และกล้วยไม้ชนิดต่าง ๆ
- ป่าดิบ ขึ้นอยู่ในสภาพพื้นที่ที่มีดินอุดมสมบูรณ์น้อย มีเปอร์เซ็นต์ของทรายสูง ส่วนมากพบในที่ราบ ชนิดไม้ที่สำคัญ ได้แก่ ไม้ยาง ตะเคียนต่าง ๆ ตำเสาและกะบาก เป็นต้น
สัตว์ป่าที่อาศัยอยู่ในอุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว ได้แก่เลียงผา หมูป่า เก้ง เม่น กระจง ลิง ค่าง อีเห็น กระรอก เป็นต้น สัตว์ประเภทสัตว์ปีก มีนกชนิดต่างๆ เช่น นกขุนทอง นกกางเขน นกปรอดต่าง ๆ นกเหยี่ยว นกดุเหว่า ฯลฯ อาศัยอยู่ในป่าทั่วไป สัตว์น้ำ มีปูหิน ตะพาบน้ำ กุ้ง ปลาชนิดต่าง ๆ อาศัยอยู่ตาม ลำห้วยทั่วไป สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ มี กบ เขียด ปาด คางคก คางคกภูเขา (กง) อาศัยอยู่ตามลำห้วย และที่ชื้นแฉะทั่วไป สัตว์ป่า ประเภทเลื้อยคลาน มี งูเหลือม งูเห่า งูกะปะ เต่า ตะกวด กิ่งกาบิน ซึ่งอาศัยอยู่ในป่าทั่วไป 


หาดตะโละกาโปร์ 

    ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองปัตตานีตามทางหลวงหมายเลข 42 (ปัตตานี-นราธิวาส) เลี้ยวซ้ายเข้าอำเภอยะหริ่ง ข้ามคลองยามูตามสะพานคอนกรีตขนาดใหญ่ ผ่านพื้นที่สวนป่าชายเลนและหมู่บ้านไปจนถึงทางแยกเข้าสู่หาด รวมระยะทางประมาณ 18 กิโลเมตร หาดตะโละกาโปร์เป็นหาดที่มีชื่อเสียงของจังหวัดปัตตานี เคยประกวดแหล่งท่องเที่ยว 5 จังหวัด ชายแดนภาคใต้ ได้ที่ 2 ประเภทแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ ประจำปี 2529 หาดตะโละกาโปร์เป็นหาดทรายขาวสะอาดขนานกับชายฝั่งทะเล มีเรือกอและของชาวประมงจอดอยู่เป็นจำนวนมาก หาดทรายแห่งนี้งอกยาวออกไปเรื่อยๆ เพราะเกิดจากกระแสน้ำพัดเอาตะกอนทรายมาทับถมพอกพูน เหมาะแก่การไปนั่งพักผ่อนชมความสวยงาม มีทิวสนและต้นมะพร้าวให้ความร่มรื่นสวยงาม

            ที่ตั้ง ต.ตะโล๊ะกาโปร์ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี
        จุดเด่น หาดทรายทอดตัวยาวขนานไปกับทิวสนร่มรื่น มีสายน้ำพาคลื่นเคลื่อนมากระทบฝั่ง ในวันที่อากาศปลอดโปร่งน้ำทะเลจะมีสีคราม ทรายเป็นสีทองสวยงามมาก เหมาะสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ หากเลยไปยังหมู่บ้านประมงจะมีเรือกอและจอดเรียงรายอยู่เป็นทิวแถว ซึ่งชาวบ้านแถบนี้จะพาเรือออกไปทำประมงแล้วนำกลับมา โดยจะลากขึ้นมาเก็บในช่วงเช้าๆ สถานที่พักแรม บริเวณชายหาดยังไม่มีจุดพักแรม

        การเดินทางจากตัวเมืองปัตตานี ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 42 ประมาณ 16 กม. จากนั้น จะมีแยกเข้าสู่ชายหาดอีกราว 3 กม. เป็นทางลาดยาง




        ปัตตานีเป็นเมืองน่าอยู่ ปัตตานีเป็นเมืองที่มีสถานที่ท่องเที่ยวอันสวยงาม เป็นเมืองที่มีความอุดมสมบูรณ์ และเป็นที่นิยมของผู้คนสำหรับการพักผ่อนในหาดทรายแห่งนั้นก็คือ ตะโละกาโปร์ หาดทรายแห่งนี้ตั้งที่จังหวัดปัตตานี ห่างจากตัวเมืองปัตตานีตามทางหลวงหมายเลข ๔๒ ระหว่างปัตตานีเป็นทางเดียวกับทางไปนราธิวาสวันหยุด

        เมื่อวันที่ ๖ ที่ผ่านมาฉันได้ไปเที่ยวที่หาดแห่งหนึ่ง ซึ่งมีมีความสวยงามมากจนทำให้ฉันไปนั่งแล้วรู้สึก ไม่อยากกลับ พอนั่งไปนานๆ ก็จะได้ยินเสียงคลื่นสาดน้ำมากระทบชายฝั่งเบาๆ เหมือนเสียงกล่อมเด็กนอน ฟังคลื่นไปพลางชมหาดทรายสีขาวมีผู้คนเดินผ่านมาตามหาดทราย

        ฉันได้ไปเที่ยวกับครอบครัว ซึ่งมี พ่อ แม่ พี่ น้อง ได้ไปนั่งกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างมีความสุข บรรยากาศรอบๆนั้นเต็มไปด้วยทิวสนเรียงรายกันเป็นแถวตามริมถนน ไม่ใช่มีเพียงต้นสนเท่านั้น แต่ยังมีต้นมะพร้าวเต็มไปหมดสร้างความรมรื้นให้กับชายหาด ขณะเดียวกันนั้นมีคนมาตั้งวงกินข้าวข้างๆและฉันได้ถามคนที่มาพร้อมกับดิฉันอีกว่า ตอนที่เราเดินทางมามีใครเห็นลิงที่อยู่ข้างทางบ้าง หลังจากที่ฉันถามจบก็ได้ยินเสียงตอบรับว่าเห็นค่ะ และเขาก็ได้บอกอีกว่าลิงตัวนั้นน่ารักมากเลยค่ะ ตอนที่น้องเห็นเขาน้องได้โยนกล้วยให้เขาด้วย และลิงตัวนั้นก็ได้คาบกล้วยวิ่งขึ้นบนต้นไม้น้องดูแล้วรู้สึกมีความสุขมาก

        ตอนที่ฉันกำลังนั่งกินข้าวกับครอบครัว ฉันรู้สึกมีความสุขมาก ซึ่งเป็นความสุขที่ฉันไม่เคยได้จากครอบครัวมาก่อน วันนี้แหละที่ฉันมีความสุขที่สุด ทำให้ดิฉันกับครอบครัวของดิฉันเกิดความผูกพันมากขึ้น

        เลี้ยวซ้ายเข้าอำเภอยะหริ่งข้ามคลองยามูตามะพานคอนกรีตขนาดใหญ่ ผ่านพื้นที่สวนป่าชายเลนและหมู่บ้านไปจนถึงทางแยกเข้าสู่หาดทรายระยะทางประมาณ ๑๘ กิโลเมตร และสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้เป็นหาดทรายที่ประกวดแหล่งท่องเที่ยว ๕จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ที ๒ ประเภทแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ ประจำปี ๒๕๒๙ ซึ่งเป็นหาดทรายขาวสะอาดขนานกับชายฝั่งทะเล


        ตะโละกาโปร์ เป็นภาษามลายูพื้นเมือง คำว่า “ตะโละ” แปลว่าอ่าว คำว่า “กาโปร์” แปลว่า ปูน รวมความหมายแปลว่า อ่าวปูน ในสมัยก่อนกล่าวกันว่า บริเวณพื้นที่ตรงนี้ เป็นที่เก็บเปลือกหอยตรงนี้ เป็นที่เก็บเปลือกหอยเหล่านี้มาเผาไปจนสุก และกลายเป็นปูนขาว นำมากินกับหมาก ปัจจุบันสันนิษฐานว่า เป็นเปลือกหอยขาว หรือหอยแครง เพราะว่าหอยขาว เป็นหอยประจำอ่าวมีมาก ชาวประมงจะเก็บมากินเนื้อ และเป็นสินค้าออกของอำเภอยะหริ่ง เปลือกหอยจะมีหินปูนจึงเรียกตำบลนี้ว่า “ตำบลตะโละกาโปร์”



            ดิฉันได้เข้าไปสัมภาษณ์คนที่ขายของตามหาดทราย ดิฉันได้ถามเขาว่า “คุณได้ขายของมานานแค่ไหนแล้ว” ประมาณ ๕-๖ ปีแล้ว ถ้าขายของเช่น ขายลูกชิ้นปลา หรือ กุ้ง ปู ก็ต้องเลือกที่สุดๆใหม่เพราะถ้าขายของที่ไม่สดจะทำให้คนที่มาซื้อไม่ค่อยสนใจหรือมาซื้อแค่ครั้งเดียวก็จะไม่มาซื้ออีก วิธีการเลือก ปู ปลา หรือ กุ้งนั้น จะต้องไปจองที่ท่าเรือ เพราะเขาเพิ่งไปเก็บกลับมาจากทะเล หรือไปรอ เพื่อเลือกเองก็ได้ ถ้าไปรอหรือไม่จองจะทำให้เราไม่ได้ของสดกลับมา เพราะมีผู้คนไปรอซื้อเพื่อที่นำเอาไปประกอบอาหารหรือขายต่อ ในการจัดเตรียมเพื่อจะทำไปขายก็ต้องมีลูกจ้างมาช่วยเตรียมทอดหรือจัดเตรียมใส่ในตู้ ส่วนค่าจ้างของลูกจ้างจะจ้างเป็นรายเดือนเพราะลูกจ้างจะไม่ชอบเอาค่าจ้างไปก่อนเพราะกลัวหมด บางที่ลูกจ้างจะมาทำงานไม่ครบวันก็จะจ่ายตามวันที่เขามาทำงาน ค่าจ้างก็วันละ ๑๐๐ บาท เพราะไม่ได้ทำอะไรมากแค่ทอด กุ้ง ปู เพราะกุ้ง กับ ปู จะชุบแป้งทอดส่วนลูกชิ้นจะย่าง ส่วนรายได้ในแต่ละวันก็ตกประมาณวันละ ๑,๐๐๐ บาท กำไร แต่บางวันได้ไม่ถึงพันก็มี เพราะบางวันมีผู้คนมาเที่ยวไม่ค่อยเยอะ ก็จะได้กำไรน้อย แต่ไม่เคยน้อยกว่าห้าร้อยบาท จะได้กำไรไม่ค่อยเยอะเพราะขายไม่ค่อยแพงเท่าไหร่ ตกประมาณไม้ละ ๒ บาท ส่วน กุ้ง เนื้อปู ไม้ละ ๕-๗ บาท ถ้าพูดถึงสามมอย่างนี้อะไรขายดีกว่า ก็ต้องบอกเลยว่าเนื้อปูขายดีที่สุดเพราะเนื้อปูส่วนใหญ่จะเป็นของสด พอลูกค้ากินแล้วจะติดใจเพราะหวานมากเลย

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ประวัติผู้เขียนเว็บ

ชื่อ นางสาวนัสเราะ เหมตำ
ที่อยู่ ม. 12 ต. โคกโพธิ์ อ. โคกโพธิ์ จ. ปัตตานี 94120